Sunday, May 17, 2009

ทำธุรกิจร้านกาแฟสดต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง?



ในการทำธุรกิจทุกชนิด ไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเล็กหรือใหญ่เพียงใด คุณจำเป็นต้องมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่คุณทำอยู่อย่างละเอียดและลึกซึ้งพอสมควร ยิ่งมีความรู้ความเข้าใจมากแบบทะลุทุกมิติได้ยิ่งเป็นการดีมากๆ เพราะเท่ากับเป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับคุณ คุณต้องนำความรู้เหล่านี้มาใช้ประกอบในการบริหารและจัดการร้านกาแฟสดของคุณ ในปัจจุบันความรู้ต่างๆสามารถเสาะแสวงและค้นคว้าได้จากทั้งในหนังสือวารสารรวมถึงข้อมูลในอินเตอร์เนต คุณขยันหาความรู้ก็จะหลั่งไหลมาหาคุณ

การที่คุณเป็นเจ้าของร้านกาแฟสด คุณจำเป็นต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง? หลังจากที่คุณเปิดร้านกาแฟสดสำเร็จแล้วเป็นจุดเริ่มแรก ขั้นต่อไปคือวางแผนในการบริหารจัดการธุรกิจให้ดีในทุกๆด้าน ซึ่งร้านกาแฟสดจะเกี่ยวข้องกับการบริหารและจัดการในสิ่งต่อไปนี้ 1. คน(คุณ,พนักงานขาย,ลูกค้า) 2. สินค้า(กาแฟสดและเมนูอื่นๆ) 3. การบริการ(การให้บริการที่ดีเยี่ยมกับลูกค้า) และอื่นๆในขณะที่คุณเป็นเจ้าของร้านกาแฟสด คุณก็เป็นผู้จัดการทุกๆอย่างในร้านไปโดยอัตโนมัติ

โจทย์ที่สำคัญที่สุดสำหรับร้านกาแฟหรือธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งรวมไปถึงอาหารคือ รสชาด ถ้ารสชาดกาแฟสดของคุณอร่อยมากๆรวมถึงเมนูประกอบอื่นๆก็อร่อยไม่แพ้กัน มนุษย์ทุกๆคนต้องการลิ้มรสความอร่อยเป็นอันดับแรก มากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งถือเป็นสัจธรรมของมนุษย์ ดังนั้นหน้าที่ของคุณที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟสด คือการบริหารและจัดการให้ทุกเมนูมีความอร่อยเป็นพิเศษ ที่ลูกค้าต้องติดใจในรสชาดไปอีกนานแสนนาน ต้องให้ลูกค้าภูมิใจและประทับใจในสินค้าและบริการของคุณ แล้วเงินทองจะหลั่งไหลมาหาคุณโดยอัตโนมัติ คุณทำได้ ถ้าคุณมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้ได้ ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ยกเว้นการไม่ได้ลงมือทำเท่านั้น

การพัฒนารสชาดของแต่ละเมนูกาแฟหรือเมนูอื่นๆที่มีความอร่อยอยู่แล้ว คุณอย่าหยุดอยู่เพียงเท่านั้น อย่าลืมว่า รสชาดความอร่อยมีหลายระดับ เช่น อร่อย(ธรรมดา) , อร่อยพอใช้ได้, อร่อยมาก , อร่อยมากที่สุด(อร่อยจริงๆ) คุณต้องพัฒนารสชาดไปให้ถึงจุดสูงสุดให้ได้ ( อยู่ในวิสัยที่มนุษย์ทำได้ ) การพัฒนารสชาดความอร่อยของกาแฟสดเกี่ยวข้องกับสิ่งใดบ้าง?ถ้าหากร้านกาแฟของคุณต้องการให้กาแฟมีรสชาดอร่อยกว่าร้านอื่น คุณจะต้องทราบว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อรสชาดของกาแฟ ซึ่งปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อรสชาดของกาแฟมีด้วยกัน 5 ส่วนดังนี้

1. ชนิดของกาแฟ การเลือกกาแฟ ผู้ขายจะต้องเรียนรู้ว่ากาแฟอะไร มีกลิ่นหอม และรสชาดที่แตกต่างกันอย่างไร และใช้กาแฟบด หรือกาแฟสำเร็จรูป ในกลุ่มของกาแฟคั่วบด จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
- สเตรทคอฟฟี่ (Straight coffee) หมายถึง พันธุ์อาราบิก้าแท้ 100% ที่มาแหล่งปลูกเดียวกัน เช่น บราซิล เคนย่า จาไมก้า บลูเม้าเท่น เป็นต้น
- คอฟฟี่ เบล็นด์ เป็นการใช้กาแฟผสมกัน เช่น พันธุ์อาราบิก้าผสมกับ โรบัสต้า หรือใช้พันธุ์อาราบิก้า 2 ชื่อขึ้นไปผสมกัน

2. การคั่วบด กาแฟที่มีรสชาดอ่อน และรสเข้มนั้น เกิดจากการคั่วบด และวิธีการบดหยาบหรือละเอียด ซึ่งก็เป็นตัวแปรอีกประการหนึ่งของรสชาดของกาแฟแตกต่างกัน กาแฟที่บดหยาบรสชาดจะอ่อนกว่ากาแฟที่บดละเอียด ก่อนบดกาแฟทุกครั้งขอให้แน่ใจว่าเป็นกาแฟชนิดไหน เพื่อให้ได้ขนาดของเกล็ดกาแฟที่เหมาะกับอุปกรณ์ โดยหลักของการบดกาแฟที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาของน้ำชงผ่านกาแฟ เพราะฉะนั้นเวลาที่ใช้ในการชงกาแฟ ยิ่งเร็ว เกล็ดของกาแฟ จะยิ่งละเอียด หรือเวลาที่ใช้ในการชงกาแฟยิ่งช้า เกล็ดของกาแฟจะยิ่งหยาบลง

3. วิธีการชง วิธีการชงกาแฟจะมีหลายแบบด้วยกัน คือแบบกระดาษกรอง แบบใช้แรงดัน หรือแบบเครื่องชงอัตโนมัติ ซึ่งวิธีการชงก็จะมีผลที่ทำให้รสชาดของกาแฟออกมาไม่เหมือนกัน

4. ส่วนผสมพิเศษต่าง ๆ ชนิดของส่วนผสมพิเศษ เช่น น้ำตาล ครีม ทำให้รสชาดของกาแฟแตกต่างกันออกไป จะเห็นว่าแต่ละร้านมีการเลือกส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น คาปูชิโน บางแห่งก็ใช้นมสด บางแห่งให้นมถั่วเหลือง และไซรัปที่ใส่ในกาแฟ ช็อคโกแลต คาราเมล วานิลา น้ำผึ้ง เครื่องเทศ สุรา ไอศกรีม และวิปปิ้งครีมต่าง ๆ สามารถนำมาประยุกต์ทำเป็นสูตรของตัวเองที่ทำให้รสชาดที่แตกต่างไปจากร้านอื่นได้

5. การเก็บรักษา กาแฟที่สัมผัสกับอากาศนั้นจะทำให้กลิ่นหมดไปและมีผลต่อรสชาด ดังนั้นผู้ที่ขายกาแฟจะต้องให้ความสำคัญ ศึกษาวิธีการเก็บรักษา ควรเก็บกาแฟคั่วบดให้อยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท ไม่ให้อากาศหรือความชื้นเข้าได้ วางให้ห่างจากอาหารที่มีกลิ่นแรง ห่างจากแสงแดด และเก็บในอุณหภูมิห้องปกติ ควรเลือกขนาดภาชนะให้เหมาะกับปริมาณกาแฟ เพื่อขจัดช่องว่างของอากาศให้น้อยที่สุด ควรซื้อกาแฟให้พอใช้ของแต่ละรอบ เพื่อให้ได้กาแฟที่ใหม่ สดเสมอ ควรล้างและเก็บรักษาอุปกรณ์การชงกาแฟ ให้สะอาดทั้งก่อนใช้และหลังใช้อยู่เสมอ การจะทำให้กาแฟสดมีรสชาดดีต้องเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่ดีๆเป็นที่นิยมของคนทั่วไป ขั้นตอนต่อไปก็คือการคั่วเมล็ดกาแฟ ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ รสชาดของกาแฟสดจะดีไม่ดีก็อยู่ที่จุดนี้ด้วยส่วนหนึ่ง
การคั่วเมล็ดกาแฟมี 3 ระดับด้วยกันดังนี้
1. การคั่วกาแฟอ่อน จะใช้อุณหภูมิประมาณ 200-210 องศาเซลเซียส
2. กาแฟคั่วปานกลาง จะใช้อุณหภูมิประมาณ 210-220 องศาเซลเซียส
3. กาแฟคั่วเข้ม จะใช้อุณหภูมิประมาณ 220-240 องศาเซลเซียส

การใช้เวลาคั่วที่เหมาะสมก็มีส่วนทำให้กาแฟสดที่ออกมามีรสชาดดีการเก็บกาแฟสดที่ผ่านการคั่วแล้ว ควรเก็บให้มิดชิด เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท ไม่ให้มีอากาศและความชื้นเข้าได้ ซึ่งจะมีส่วนทำให้กาแฟสดมีรสชาดดีเช่นกันการชงกาแฟสด ควรใช้ผงกาแฟที่ผ่านการคั่วและบดใหม่ๆในทุกๆครั้งไป ปริมาณผงกาแฟสดที่ชงต่อถ้วยประมาณ 8-10 กรัม ภาชนะที่ใช้ชงต้องสะอาดปราศจากกลิ่น ฝุ่น ผงใดๆ ห้ามนำกาแฟสดที่ผ่านการชงมาแล้วกลับมาชงใหม่เป็นเด็ดขาด สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับชงกาแฟสดให้มีรสชาดดีจะอยู่ที่ 94 องศาเซลเซียส

เวลาทำกาแฟร้อน อย่าลืมลวกแก้วเซรามิคให้ร้อนก่อน ไม่เช่นนั้นกาแฟจะสูญเสียความร้อนไปกับถ้วยที่เย็น โดยเฉพาะในห้องแอร์ ทำให้กาแฟเย็นเร็ว การสังเกตอุณหภูมิ ให้ดูที่ไฟสีเขียวที่ติดที่หน้าเครื่อง ไฟจะติดในขณะที่ต้มน้ำ เมื่อได้อุณหภูมิที่94-100 เทอร์โมสแตทก็จะตัด ไฟสีเขียวก็จะดับ แสดงสถานะพร้อมใช้ ให้ชงในขณะน้ำร้อนๆ จะได้รสชาดกาแฟดี



เทคนิคการชงกาแฟให้อร่อย



  • ใช้กาแฟคั่วบดที่ใหม่สดเสมอ จะมีรสชาดดี ให้ความหอมกรุ่น และรสชาดนุ่มนวล

  • บดกาแฟให้ได้เกล็ดเหมาะกับอุปกรณ์กาแฟที่ใช้ (หยาบ ปานกลาง ละเอียด ผง)

  • ใช้ปริมาณกาแฟให้เพียงพอต่อการชง 1 ถ้วย ปกติกาแฟ 1 ถ้วย ใช้กาแฟคั่วบด 8-10 กรัม แต่ถ้าชงกาแฟ ในน้ำที่กระด้างมาก หรือชงกาแฟที่ใส่นมควรเพิ่มกาแฟคั่วบดให้มากขึ้นเล็กน้อย

  • ใช้น้ำสะอาด ปราศจาก ตะกอน สี กลิ่น รส

  • น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิเหมาะสมในการชงกาแฟ คือ อุณหภูมิ 94 องศาเซลเซียส หรือน้ำร้อนหลังจากที่เดือดและปล่อยทิ้งไว้สักครู่ ไม่ควรใช้น้ำร้อนที่เดือดจัดชงกาแฟ เพราะจะทำให้ผงกาแฟไหม้ หรือถูกลวกอย่างแรง ทำให้น้ำกาแฟที่ได้จะมีรสขมเข้ม

  • กรณีที่อากาศเย็น ควรลวกถ้วยกาแฟให้ร้อนก่อนเทน้ำกาแฟลงไปในถ้วนกาแฟ

  • ดื่มกาแฟที่ชงเสร็จใหม่ ๆหรือที่กำลังร้อนๆอยู่ จะได้ความหอมกรุ่นและรสชาดดี

  • ไม่ควรนำผงกาแฟที่ใช้แล้วมาชงซ้ำอีก

www.coffeemade.com

No comments:

Post a Comment