Wednesday, July 10, 2013

เปิดร้านกาแฟอย่างไรไม่ขาดทุน??? 2

ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะนำประสบการณ์ดังกล่าวมาปรับใช้กับลูกค้าที่มีฝันว่า อยากจะเปิดร้านกาแฟสักร้าน ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ต้องการที่จะ หาอาชีพเสริมและก็มีจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟด้วยเงินที่เก็บมาตลอด ชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้างประจำ ซึ่งผมมีข้อแนะนำดังนี้ครับ


1.เลือกคู่ค้า ที่มีประสบการณ์มีความรู้จริงในธุรกิจกาแฟสด การเลือก คู่ค้า-คู่คิดิ ที่มีประสบการณ์และมีแบรนด์เนมที่เชื่อถือได้ เขาจะสนับสนุนให้คุณ ค้าขายเป็นและสามารถซัพพอร์ตในเรื่องหัวใจของธุรกิจนั่นคือ เขาจะเทรนให้คุณเก่งขึ้น สอนคุณทำเมนูเครื่องดื่มกาแฟได้หลากหลายขึ้น หากอุปกรณ์เครื่องชง เสียก็สามารถมาบริการคุณได้รวดเร็ว เพราะเขาก็หวงแบรนด์เขายังไงเข
าก็ต้องดูแลคุณ เพราะมีผลต่อชื่อเสียงของแบรนด์ คุณจะได้เรียนรู้การทำธุรกิจที่ถูกต้อง หากคุณเลือกคู่ค้าใช่ (เหมือนการเลือกคู่แต่งงานยังไงอย่างนั้นเลย)

2.เลือกขนาดธุรกิจ ที่เหมาะกับเงินในกระเป๋าของคุณ คู่ค้าที่ดีเขาจะจัดขนาดธุรกิจให้เหมาะกับเงินลงทุนของคุณ ผมจะแนะนำให้ผู้สนใจทำในขนาดที่ไม่ต้องลงทุนมากก่อน เพื่อให้มีโอกาสดูแนวโน้มการขายและดูว่าจริงๆ แล้วคุณ ชอบทำธุรกิจนี้หรือไม่ เพราะเริ่มจากเล็กแล้วขยายให้ใหญ่ได้ บางคนใจร้อนมาถึงทุ่มสุดตัวเห็นเจ๊งไปก็หลายราย เงินทั้งก้อนที่เก็บมากว่า10 ปี ก็มลายหายไป ทันที คู่ค้าที่มีประสบการณ์จะทำให้คุณเสี่ยงน้อยที่สุด และเขาสามารถติดต่อสถาบันการเงินให้คุณสามารถผ่อนจ่ายเพื่อให้บรรเทาการใช้เงินก้อนและคุณสามารถ มีเงินทุนหมุนเวียนได้มากขึ้น จะทำให้คุณมีกำลังใจในการประกอบธุรกิจมากขึ้น

3.พิจารณาทำเล ในการค้าขายและค่าเช่าที่ หัวใจสำคัญของการค้าปลีกมีอยู่ 3 ข้อ 1.ทำเล 2.ทำเล และ 3.ทำเล เลือกถูกทำเลโอกาสสำเร็จมีสูงมาก ก่อนจะเปิดร้านกาแฟคุณต้องดูว่าทำเลที่มองไว้เป็นอย่างไร เป็นแหล่งชุมชนที่คน พลุกพล่านหรือไม่ พฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร และมีคู่แข่งที่เป็นร้านกาแฟ
สดอยู่ก่อนแล้วกี่ราย จากนั้นก็มาดูกันอีกทีเรื่องค่าเช่าที่-ค่าไฟ ว่าค่าใช้จ่าย เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเราหรือไม่ เพราะมันเป็นต้นทุน (Fix Cost) ที่เราต้องจ่ายทุกเดือนครับ เรื่องแบบนี้หมอดูสำนักไหนก็ช่วยคุณไม่ได้ แต่หากคุณเลือกคู่ค้าถูกตั้งแต่ข้อ1 เขาจะสามารถวิเคราะห์และช่วยหาทำเลที่ดีให้คุณได้

4.วิธีการบริหารค่าใช้จ่ายรายวัน/รายเดือน มีลูกค้าหลายรายที่สนใจอยาก ทำธุรกิจกาแฟ แต่ตัวเองไม่มีเวลามาขายเองจะต้องจ้างคนมาขายหน้าร้านแทน เรื่องนี้สำคัญครับ เพราะการจ้างคนมาขายของแทนเรา นอกจากจะเป็นต้นทุน (Fix Cost) ที่ต้องจ่ายทุกเดือนแล้ว คุณจะสามารถไว้ใจเค้าได้มากน้อยแค่ไหน เกิดในกรณีที่พนักงานเค้าโกงคุณด้วยการนำวัตถุดิบหรืออุปกรณ์ เช่น นมข้น นมสด แก้ว หลอดไปขาย คุณจะรู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นควรพิจารณาให้ดีครับ หากไม่มีเวลาที่จะขายเองจริงๆ ก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลแทนและวางระบบการจัดการให้ดี ต้องมีวิธีการตรวจสอบและบริหารค่าใช้จ่ายทั้งเรื่องพนักงาน การaudit สต็อกเพื่อตรวจสอบเรื่องยอดขายกับวัตถุดิบด้วย เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลครับ

จะเห็นว่าหากเลือกถูกตั้งแต่ข้อที่หนึ่งคือเลือกคู่ค้าที่มีประสบการณ์และไว้ใจได้ ก็จะสามารถช่วยทำให้คุณมีความสบายใจในการประกอบการได้อย่างมีความกังวลน้อยที่สุด เพราะลดความเสี่ยงคุณไปได้เยอะ

แต่จำไว้ว่าตัวคุณเองสำคัญที่สุด หากมั่นใจก็ลุยเลยครับผมเอาใจช่วย!!! แล้วคุณจะได้ประสบการณ์ จากการเรียนรู้ข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องในแต่ ละวันที่คุณเปิดร้าน ในขณะเดียวกันคุณก็จะได้เรียนรู้การแก้ไข และการพัฒนาศักยภาพในการเป็นเถ้าแก่ควบคู่กันไปด้วย แต่อย่าลืมนะครับจะเปิดร้านขายกาแฟ ก็ต้องรักงานบริการลูกค้าและชื่นชอบการดื่มกาแฟด้วยเช่นกันนะครับ!!!

เพราะผมเชื่อเสมอว่า คนที่สนใจและชื่นชอบสิ่งไหนมักจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่า คนที่ไม่มีใจรัก ดังนั้น ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้จะต้องมีใจรักที่จะทำ จึงจะ สามารถทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นและมองเห็นช่องทางแก้ไขได้เสมอ

เปิดร้านกาแฟอย่างไรไม่ขาดทุน??? 1

การทำธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง แต่จะทำอย่างไรให้ความเสี่ยงนั้นน้อยที่สุด มีหลายคนที่คิดจะทำธุรกิจส่วนตัวหรืออยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่ขาดประสบการณ์ ไม่มีคนให้คำปรึกษา เงินทุนน้อยหรือไม่ก็กลัวขาดทุน พูดง่ายๆ ก็คือกลัวเจ๊งนั่นเองครับ!!!
การทำธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง แต่จะทำอย่างไรให้ความเสี่ยงนั้นน้อยที่สุด มีหลายคนที่คิดจะทำธุรกิจส่วนตัวหรืออยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่ขาดประสบการณ์ ไม่มีคนให้คำปรึกษา เงินทุนน้อยหรือไม่ก็กลัวขาดทุน พูดง่ายๆ ก็คือกลัวเจ๊งนั่นเองครับ!!!
สำหรับผม หากมีใครมาถามว่าจะทำธุรกิจอะไรในยามที่ราคาน้ำมันเริ่มกลับ มาพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มว่าราคาสินค้าอาหารก็จะขยับตัวเพิ่มขึ้นตามมาเป็นลูกระนาดแบบนี้ ผมก็อยากจะแนะนำให้ลองหันมามองธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟสด ดูครับ
ผมอยู่กับธุรกิจกาแฟมาตั้งแต่เกิดเพราะเป็นธุรกิจของครอบครัววงศ์วารีิ มานานถึง 52 ปีแล้วครับ หากมองย้อนกลับไปที่อโรม่า กรุ๊ป เริ่มรุกตลาดแฟรนไชส์ร้านกาแฟสดเมื่อ 10 ปีก่อน โดยเริ่มจากแฟรนไชส์ร้านกาแฟ ไนน์ตี้-โฟร์ คอฟฟี่ิ ไล่มาจนเป็นแบรนด์ที่จับลูกค้าระดับกลางถึงระดับล่างอย่าง ็ชาวดอยิ และ ็โอเค เอสเปรสโซ่ิ
ปัจจุบันทั้ง 3 แบรนด์นี้มีสาขารวมกันถึงเกือบ 400 สาขา ซึ่งผมตั้งเป้าว่า ในปีนี้จะขยายสาขาของชาวดอยและโอเค เอสเปรสโซ่ ให้ได้อีกอย่างละ 100 สาขา เพราะแนวโน้มธุรกิจการเปิดร้านกาแฟสด ที่เป็นร้านระดับแมสที่มีราคาขายแก้วละ 30-35 บาท ได้รับความนิยมสูงมาก ส่วนไนน์ตี้-โฟร์ คอฟฟี่ ซึ่งเป็นร้านระดับพรีเมี่ยมที่มีขนาดใหญ่ มีอยู่ด้วยกัน 35 สาขา ปีนี้คาดว่าจะขยายให้ได้อีก 20 สาขา
จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าปัจจุบันคนไทยยังดื่มกาแฟน้อยมาก แค่ประมาณครึ่งกิโลกรัม/คน/ปี หรือประมาณ 130-150 แก้ว/คน/ปี (เฉลี่ยไม่ถึง หนึ่งแก้ว/คน/วัน) ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ดื่มกาแฟเฉลี่ย 500 แก้ว/คน/ปี หรืออเมริกาที่ดื่มกาแฟเฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี (หรือเฉลี่ย 2 แก้ว/คน/วัน)
สรุปว่า ธุรกิจกาแฟสดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก พูดง่ายๆ คือเป็นธุรกิจ ที่มีอนาคตนั่นเองครับ ร้านกาแฟสดโดยเฉลี่ยจะมีรายได้อยู่ประมาณวันละ 3,000-6,000 บาท และมีกำไรประมาณวันละ 1,000-2,000 บาท โดยกาแฟแก้วละ 30 บาท มีกำไร เฉลี่ย 65-70% ต่อแก้ว ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยนะครับ หากคุณบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าที่หรือการจ้างลูกจ้างประจำร้านเพราะมันเป็นต้นทุน (Fix Cost) ที่คุณต้องจ่ายทุกเดือน
หากคุณลงทุนเปิดร้านด้วยเงินทุน 40,000-50,000 บาท แล้วขายได้วันละ 50 แก้ว เพียงแค่ 6เดือนคุณก็คืนทุนแล้ว แต่หากคุณขายได้วันละ 50-100 แก้ว ใช้เวลาแค่ 3 เดือนก็คืนทุน!!!
เห็นอย่างนี้แล้วหลายคนอาจจะคิดว่าการทำธุรกิจร้านกาแฟสดทำไม่ยาก แต่ผมบอกได้เลยครับว่าถ้าจะทำให้ดีให้ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ อโรม่า กรุ๊ป ก็ต้องใช้ความพยายามมากครับในการ ลองถูกลองผิด มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งสาขาที่เปิดเพิ่ม และสาขาที่ปิดตัวลงไป !!!
ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะนำประสบการณ์ดังกล่าวมาปรับใช้กับลูกค้าที่มีฝันว่า อยากจะเปิดร้านกาแฟสักร้าน ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ต้องการที่จะ หาอาชีพเสริมและก็มีจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟด้วยเงินที่เก็บมาตลอด ชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้างประจำ ซึ่งผมมีข้อแนะนำดังนี้ครับ
1.เลือกคู่ค้า ที่มีประสบการณ์มีความรู้จริงในธุรกิจกาแฟสด การเลือก คู่ค้า-คู่คิดิ ที่มีประสบการณ์และมีแบรนด์เนมที่เชื่อถือได้ เขาจะสนับสนุนให้คุณ ค้าขายเป็นและสามารถซัพพอร์ตในเรื่องหัวใจของธุรกิจนั่นคือ เขาจะเทรนให้คุณเก่งขึ้น สอนคุณทำเมนูเครื่องดื่มกาแฟได้หลากหลายขึ้น หากอุปกรณ์เครื่องชง เสียก็สามารถมาบริการคุณได้รวดเร็ว เพราะเขาก็หวงแบรนด์เขายังไงเขาก็ต้องดูแลคุณ เพราะมีผลต่อชื่อเสียงของแบรนด์ คุณจะได้เรียนรู้การทำธุรกิจที่ถูกต้อง หากคุณเลือกคู่ค้าใช่ (เหมือนการเลือกคู่แต่งงานยังไงอย่างนั้นเลย)
2.เลือกขนาดธุรกิจ ที่เหมาะกับเงินในกระเป๋าของคุณ คู่ค้าที่ดีเขาจะจัดขนาดธุรกิจให้เหมาะกับเงินลงทุนของคุณ ผมจะแนะนำให้ผู้สนใจทำในขนาดที่ไม่ต้องลงทุนมากก่อน เพื่อให้มีโอกาสดูแนวโน้มการขายและดูว่าจริงๆ แล้วคุณ ชอบทำธุรกิจนี้หรือไม่ เพราะเริ่มจากเล็กแล้วขยายให้ใหญ่ได้ บางคนใจร้อนมาถึงทุ่มสุดตัวเห็นเจ๊งไปก็หลายราย เงินทั้งก้อนที่เก็บมากว่า10 ปี ก็มลายหายไป ทันที คู่ค้าที่มีประสบการณ์จะทำให้คุณเสี่ยงน้อยที่สุด และเขาสามารถติดต่อสถาบันการเงินให้คุณสามารถผ่อนจ่ายเพื่อให้บรรเทาการใช้เงินก้อนและคุณสามารถ มีเงินทุนหมุนเวียนได้มากขึ้น จะทำให้คุณมีกำลังใจในการประกอบธุรกิจมากขึ้น
3.พิจารณาทำเล ในการค้าขายและค่าเช่าที่ หัวใจสำคัญของการค้าปลีกมีอยู่ 3 ข้อ 1.ทำเล 2.ทำเล และ 3.ทำเล เลือกถูกทำเลโอกาสสำเร็จมีสูงมาก ก่อนจะเปิดร้านกาแฟคุณต้องดูว่าทำเลที่มองไว้เป็นอย่างไร เป็นแหล่งชุมชนที่คน พลุกพล่านหรือไม่ พฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร และมีคู่แข่งที่เป็นร้านกาแฟสดอยู่ก่อนแล้วกี่ราย จากนั้นก็มาดูกันอีกทีเรื่องค่าเช่าที่-ค่าไฟ ว่าค่าใช้จ่าย เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเราหรือไม่ เพราะมันเป็นต้นทุน (Fix Cost) ที่เราต้องจ่ายทุกเดือนครับ เรื่องแบบนี้หมอดูสำนักไหนก็ช่วยคุณไม่ได้ แต่หากคุณเลือกคู่ค้าถูกตั้งแต่ข้อ1 เขาจะสามารถวิเคราะห์และช่วยหาทำเลที่ดีให้คุณได้
4.วิธีการบริหารค่าใช้จ่ายรายวัน/รายเดือน มีลูกค้าหลายรายที่สนใจอยาก ทำธุรกิจกาแฟ แต่ตัวเองไม่มีเวลามาขายเองจะต้องจ้างคนมาขายหน้าร้านแทน เรื่องนี้สำคัญครับ เพราะการจ้างคนมาขายของแทนเรา นอกจากจะเป็นต้นทุน (Fix Cost) ที่ต้องจ่ายทุกเดือนแล้ว คุณจะสามารถไว้ใจเค้าได้มากน้อยแค่ไหน เกิดในกรณีที่พนักงานเค้าโกงคุณด้วยการนำวัตถุดิบหรืออุปกรณ์ เช่น นมข้น นมสด แก้ว หลอดไปขาย คุณจะรู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นควรพิจารณาให้ดีครับ หากไม่มีเวลาที่จะขายเองจริงๆ ก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลแทนและวางระบบการจัดการให้ดี ต้องมีวิธีการตรวจสอบและบริหารค่าใช้จ่ายทั้งเรื่องพนักงาน การaudit สต็อกเพื่อตรวจสอบเรื่องยอดขายกับวัตถุดิบด้วย เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลครับ
จะเห็นว่าหากเลือกถูกตั้งแต่ข้อที่หนึ่งคือเลือกคู่ค้าที่มีประสบการณ์และไว้ใจได้ ก็จะสามารถช่วยทำให้คุณมีความสบายใจในการประกอบการได้อย่างมีความกังวลน้อยที่สุด เพราะลดความเสี่ยงคุณไปได้เยอะ
แต่จำไว้ว่าตัวคุณเองสำคัญที่สุด หากมั่นใจก็ลุยเลยครับผมเอาใจช่วย!!! แล้วคุณจะได้ประสบการณ์ จากการเรียนรู้ข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องในแต่ ละวันที่คุณเปิดร้าน ในขณะเดียวกันคุณก็จะได้เรียนรู้การแก้ไข และการพัฒนาศักยภาพในการเป็นเถ้าแก่ควบคู่กันไปด้วย แต่อย่าลืมนะครับจะเปิดร้านขายกาแฟ ก็ต้องรักงานบริการลูกค้าและชื่นชอบการดื่มกาแฟด้วยเช่นกันนะครับ!!!
เพราะผมเชื่อเสมอว่า คนที่สนใจและชื่นชอบสิ่งไหนมักจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่า คนที่ไม่มีใจรัก ดังนั้น ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้จะต้องมีใจรักที่จะทำ จึงจะ สามารถทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นและมองเห็นช่องทางแก้ไขได้เสมอ
สำหรับผม หากมีใครมาถามว่าจะทำธุรกิจอะไรในยามที่ราคาน้ำมันเริ่มกลับ มาพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มว่าราคาสินค้าอาหารก็จะขยับตัวเพิ่มขึ้นตามมาเป็นลูกระนาดแบบนี้ ผมก็อยากจะแนะนำให้ลองหันมามองธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟสด ดูครับ
ผมอยู่กับธุรกิจกาแฟมาตั้งแต่เกิดเพราะเป็นธุรกิจของครอบครัววงศ์วารีิ มานานถึง 52 ปีแล้วครับ หากมองย้อนกลับไปที่อโรม่า กรุ๊ป เริ่มรุกตลาดแฟรนไชส์ร้านกาแฟสดเมื่อ 10 ปีก่อน โดยเริ่มจากแฟรนไชส์ร้านกาแฟ ไนน์ตี้-โฟร์ คอฟฟี่ิ ไล่มาจนเป็นแบรนด์ที่จับลูกค้าระดับกลางถึงระดับล่างอย่าง ็ชาวดอยิ และ ็โอเค เอสเปรสโซ่ิ
ปัจจุบันทั้ง 3 แบรนด์นี้มีสาขารวมกันถึงเกือบ 400 สาขา ซึ่งผมตั้งเป้าว่า ในปีนี้จะขยายสาขาของชาวดอยและโอเค เอสเปรสโซ่ ให้ได้อีกอย่างละ 100 สาขา เพราะแนวโน้มธุรกิจการเปิดร้านกาแฟสด ที่เป็นร้านระดับแมสที่มีราคาขายแก้วละ 30-35 บาท ได้รับความนิยมสูงมาก ส่วนไนน์ตี้-โฟร์ คอฟฟี่ ซึ่งเป็นร้านระดับพรีเมี่ยมที่มีขนาดใหญ่ มีอยู่ด้วยกัน 35 สาขา ปีนี้คาดว่าจะขยายให้ได้อีก 20 สาขา
จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าปัจจุบันคนไทยยังดื่มกาแฟน้อยมาก แค่ประมาณครึ่งกิโลกรัม/คน/ปี หรือประมาณ 130-150 แก้ว/คน/ปี (เฉลี่ยไม่ถึง หนึ่งแก้ว/คน/วัน) ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ดื่มกาแฟเฉลี่ย 500 แก้ว/คน/ปี หรืออเมริกาที่ดื่มกาแฟเฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี (หรือเฉลี่ย 2 แก้ว/คน/วัน)
สรุปว่า ธุรกิจกาแฟสดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก พูดง่ายๆ คือเป็นธุรกิจ ที่มีอนาคตนั่นเองครับ ร้านกาแฟสดโดยเฉลี่ยจะมีรายได้อยู่ประมาณวันละ 3,000-6,000 บาท และมีกำไรประมาณวันละ 1,000-2,000 บาท โดยกาแฟแก้วละ 30 บาท มีกำไร เฉลี่ย 65-70% ต่อแก้ว ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยนะครับ หากคุณบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าที่หรือการจ้างลูกจ้างประจำร้านเพราะมันเป็นต้นทุน (Fix Cost) ที่คุณต้องจ่ายทุกเดือน
หากคุณลงทุนเปิดร้านด้วยเงินทุน 40,000-50,000 บาท แล้วขายได้วันละ 50 แก้ว เพียงแค่ 6เดือนคุณก็คืนทุนแล้ว แต่หากคุณขายได้วันละ 50-100 แก้ว ใช้เวลาแค่ 3 เดือนก็คืนทุน!!!
เห็นอย่างนี้แล้วหลายคนอาจจะคิดว่าการทำธุรกิจร้านกาแฟสดทำไม่ยาก แต่ผมบอกได้เลยครับว่าถ้าจะทำให้ดีให้ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ อโรม่า กรุ๊ป ก็ต้องใช้ความพยายามมากครับในการ ลองถูกลองผิด มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งสาขาที่เปิดเพิ่ม และสาขาที่ปิดตัวลงไป !!!